การแบ่งน้ำหนักชกมวย

การแข่งน้ำหนักนักมวย

การชั่งน้ำหนักนักมวย ขอบคุณภาพ 10 Fight 10 ซีซั่น 2

นักมวยจะต้องได้รับการตรวจร่างกายและรับรองจากนายแพทย์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ว่าเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์พอ ที่จะเข้าแข่งขันชกมวย และจะต้องชั่งน้ำหนักในวันแข่งขันอย่างตัวเปล่า โดยการแข่งขันจะต้องไม่เริ่มขึ้นก่ สำหรับการแข่งขัน มวยไทย ( Muay Thai ) นักมวยจะต้องได้รับการตรวจร่างกายและรับรองจากนายแพทย์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ว่าเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์พอที่จะเข้าแข่งขันชกมวยและจะต้องชั่งน้ำหนักในวันแข่งขัน การชั่งน้ำหนักที่กำหนดไว้ ผู้แข่งขัน มวยไทย ( Muay Thai ) จะต้องได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริหารของสมาคมมวยไทยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ก่อนที่จะทำการชั่งน้ำหนัก หากนักมวยคนใดไม่นำบัตรประจำตัวและสมุดนักมวยมาแสดงในขณะตรวจร่างกายและชั่งน้ำหนัก จะไม่อนุญาตให้ทำการแข่งขัน มวยไทย ( Muay Thai )

     การจำแนกรุ่น มี 19 รุ่น ดังนี้

1. รุ่นพินเวท น้ำหนักต้องเกิน 93 ปอนด์ (42.272 กิโลกรัม) และไม่เกิน 100 ปอนด์ (45.454 กิโลกรัม)

2. รุ่นมินิฟลายเวท น้ำหนักต้องเกิน 100 ปอนด์ (45.454 กิโลกรัม) และไม่เกิน 105 ปอนด์ (47.727 กิโลกรัม)

3. รุ่นไลท์ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 105 ปอนด์ (47.727 กิโลกรัม) และไม่เกิน 108 ปอนด์ (48.988 กิโลกรัม)

4. รุ่นฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 108 ปอนด์ (48.988 กิโลกรัม) และไม่เกิน 112 ปอนด์ (50.802 กิโลกรัม)

5. รุ่นซูเปอร์ฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 112 ปอนด์ (50.802 กิโลกรัม) และไม่เกิน 115 ปอนด์ (52.163 กิโลกรัม)

6. รุ่นแบนตั้มเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 115 ปอนด์ (52.163 กิโลกรัม) และไม่เกิน 118 ปอนด์ (53.524 กิโลกรัม)

7. รุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 118 ปอนด์ (53.524 กิโลกรัม) และไม่เกิน 122 ปอนด์ (55.338 กิโลกรัม)

8.รุ่นเฟเธอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 122 ปอนด์ (55.338 กิโลกรัม) และไม่เกิน 126 ปอนด์ (57.153 กิโลกรัม)

9. ซูเปอร์เฟเธอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 126 ปอนด์ (57.153 กิโลกรัม) และไม่เกิน 130 ปอนด์ (58.967 กิโลกรัม)

10. รุ่นไลท์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 130 ปอนด์ (58.967 กิโลกรัม) และไม่เกิน 135 ปอนด์ (61.235 กิโลกรัม)

11. ซูเปอร์ไลท์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 135 ปอนด์ (61.235 กิโลกรัม) และไม่เกิน 140 ปอนด์ (63.503 กิโลกรัม)

12. รุ่นเวลเตอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 140 ปอนด์ (63.503 กิโลกรัม) และไม่เกิน 147 ปอนด์ (66.678 กิโลกรัม)

13. รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 147 ปอนด์ (66.678 กิโลกรัม) และไม่เกิน 154 ปอนด์ (69.853 กิโลกรัม)

14. รุ่นมิดเดิลเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 154 ปอนด์ (69.853 กิโลกรัม) และไม่เกิน 160 ปอนด์ (71.575 กิโลกรัม)

15. รุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 160 ปอนด์ (71.575 กิโลกรัม) และไม่เกิน 168 ปอนด์ (76.374 กิโลกรัม)

16. รุ่นไลท์เฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 168 ปอนด์ (76.374 กิโลกรัม) และไม่เกิน 175 ปอนด์ (79.379 กิโลกรัม)

17. รุ่นฟลายเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 175 ปอนด์ (779.379 กิโลกรัม) และไม่เกิน 190 ปอนด์ (86.183 กิโลกรัม)

18. รุ่นเฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 190 ปอนด์ (86.183 กิโลกรัม) และไม่เกิน 200 ปอนด์ (90.900 กิโลกรัม)

19. รุ่นซูเปอร์เฮฟวี่เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 200 ปอนด์ขึ้นไป (90.900 กิโลกรัมขึ้นไป)

การชั่งน้ำหนักนักมวย ขอบคุณภาพ 10 Fight 10 ซีซั่น 2

ในระดับเยาวชน เพิ่มรุ่น ดังนี้

1. รุ่นคอตตอนเวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 84 ปอนด์ (38.183 กิโลกรัม) และไม่เกิน 88 ปอนด์ (40 กิโลกรัม)

2. รุ่นเปเปอร์เวท น้ำหนักตัวต้องเกิน 88 ปอนด์ (40 กิโลกรัม) และไม่เกิน 93 ปอนด์ (42.272 กิโลกรัม)

การชั่งน้ำหนักนักมวย จะต้องมีการตรวจเช็คร่างกายของนักกีฬาด้วย ขอบคุณภาพ 10 Fight 10 ซีซั่น 2